การจัดการความรู้
(Knowledge Management)
ในเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) ทรัพยากรที่มีค่ายิ่งขององค์การนอกจากบุคลากร
ก็คือ ความรู้ ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางกลยุทธ์ที่สำคัญ องค์การต่าง ๆ
จึงให้ความสนใจในการจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) มากขึ้นและมุ่งหวังที่จะนำความรู้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และชาญฉลาด
ในการสร้างสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะเฉพาะตัว เพื่อสร้างความเจริญเติบโต
และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
ความหมายของความรู้
มีผู้ให้ความหมายของความรู้ไว้หลายแนวคิด
เช่น
พจนานุกรมทางการศึกษา (Carter V. Good 1973
ได้ให้ความหมายของ ความรู้ว่า ความรู้เป็นข้อเท็จจริง (Facts) ความจริง (Truth) กฎเกณฑ์และข้อมูลต่างๆที่มนุษย์ได้รับและรวบรวมสะสมไว้จากมวลประสบการณ์ต่างๆ
พจนานุกรม The Lexiticon Webster (Dictionary Encyclopedia Edition
1,1977) ได้ให้คำจำกัดความ “ ความรู้” เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง
กฎเกณฑ์และโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหรือเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับสถานที่
สิ่งของ หรือบุคคล ซึ่งได้จากการสังเกตุ ประสบการณ์ หรือรายงาน
การรับรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ต้องชัดเจนและต้องอาศัยเวลา
วิชัย วงศ์ใหญ่ (2530)
ได้ให้ความหมายความของ “ความรู้” ไว้ว่า
ความรู้เป็นพฤติกรรมเบื้องต้นที่ผู้เรียนสามารถจำได้ หรือระลึกได้โดยการมองเห็น
ได้ยิน ความรู้ในขั้นนี้ คือ ข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์ คำจำกัด
ความรู้ (Knowledge) ตามความหมายพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ
สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์
รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติ และทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์
สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา
จากความหมายดังกล่าว ความรู้ หมายถึง การรับรู้ข้อเท็จจริง (Facts) ความจริง (Truth) กฎเกณฑ์
และข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้นจากการศึกษา ซึ่งพฤติกรรมเบื้องต้นที่ผู้เรียนสามารถจำได้
ระลึกได้โดยได้ยิน การมองเห็น การสังเกต หรือจากประสบการณ์ทางธรรมชาติ (NATURAL
SETTING) คือ เรียนรู้จากสภาพธรรมชาติที่อยู่ใกล้ๆตัว
การเรียนรู้จากสังคม (SOCIETY SETTING) เช่น
จากการอ่านหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หรือจากการเรียนการสอน (FORMAL INSTRUCTIONAL SETTING) คือ
มีผู้แทนจากสถาบันจัดลำดับการเรียนรู้อย่างมีจุดหมายและต่อเนื่อง เป็นต้น รวมถึงสิ่งที่ได้รับการสั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน
ค้นคว้าและถ่ายทอด ที่นำไปสู่การกำหนดกรอบความคิดสำหรับการประเมิน ความเข้าใจ
และการนำสารสนเทศและประสบการณ์ใหม่มาผสมรวมกัน
ความหมายของการจัดการความรู้ (Knowledge Management)
มีผู้ให้ความหมายของการจัดการความรู้ไว้หลากหลาย
ในที่นี้จะขอยกมาเพียงบางท่าน ดังนี้
การจัดการความรู้ คือ
การได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารที่เหมาะสม สำหรับบุคลากรที่เหมาะสม ในเวลาที่
เหมาะสม และช่วยให้บุคลากรสร้าง แบ่งปัน และกระทำสิ่งต่างๆ บนข้อมูล ในหนทางที่จะทำให้เกิดการพัฒนาสมรรถนะของนาซ่าและหุ้นส่วน อย่างสามารถพิสูจน์ได้ (Knowledge management is getting the right information to the right people at the right time, and helping people create knowledge and share and act upon information in ways that will measurably improve the performance of NASA and its partners.)
เหมาะสม และช่วยให้บุคลากรสร้าง แบ่งปัน และกระทำสิ่งต่างๆ บนข้อมูล ในหนทางที่จะทำให้เกิดการพัฒนาสมรรถนะของนาซ่าและหุ้นส่วน อย่างสามารถพิสูจน์ได้ (Knowledge management is getting the right information to the right people at the right time, and helping people create knowledge and share and act upon information in ways that will measurably improve the performance of NASA and its partners.)
(คณะทำงานการจัดการความรู้ขององค์การนาซ่า NASA Knowledge Management Team, 2545)
การจัดการความรู้ในองค์กร หมายถึง การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร
ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ
เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้
รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ,
2548)
การจัดการความรู้เป็นความท้าทายสองประการ ประการแรก
คือ การจัดการข้อมูลข่าวสารและกระบวนการ และประการที่สอง คือ
การจัดการบุคลากรและสภาพแวดล้อมเพื่อให้ความรู้ถูกสร้าง แบ่งปัน
และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ (WHO considers KM to be the dual challenge of, first,
managing information and processes and, second, managing people and their
environment so that knowledge is created, shared and applied more systematically
and effectively.)
(องค์การอนามัยโลก World Health Organization: WHO, 2548)
(องค์การอนามัยโลก World Health Organization: WHO, 2548)
ได้ให้นิยามความหมายของการจัดการความรู้ไว้ว่า “การจัดการความรู้ คือ
การบริหารจัดการที่ส่งเสริมให้คนในองค์กร ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
เพื่อต่อยอดความรู้ที่แต่ละคนมีอยู่ให้สมบูรณ์
แล้วนำไปใช้สร้างนวัตกรรมในการแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน (บูรชัย
ศิริมหาสาคร, 2550)
การจัดการความรู้ คือ กระบวนการในการสร้าง ประมวล
เผยแพร่ และใช้ความรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการดำเนินงาน (ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์, 2552)
การจัดการความรู้
เป็นกระบวนการในการจัดการสภาพแวดล้อม บรรยากาศ หรืออุปกรณ์ เช่น เทคโนโลยี
ที่มีส่วนสนับสนุนหรือเอื้อให้คนในองค์การมีการสร้าง แลกเปลี่ยน แบ่งปัน
กู้กลับคืน และใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อการสร้างสรรค์
และพัฒนาทั้งทางด้านของตัวบุคคลและองค์การให้มีความสามารถที่เป็นประโยชน์
และพร้อมที่จะปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการดำเนินงานขององค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(สุจิตรา ธนานันท์, 2552)
กล่าวโดยสรุป การจัดการความรู้ คือ
กระบวนการในการบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอน
ตั้งแต่กระบวนการในการระบุความรู้ที่มีอยู่ในองค์การ การจัดเก็บรวบรวมความรู้จากบุคลากร
การจัดหมวดหมู่ความรู้ การเผยแพร่องค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ตลอดจนการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการเรียนรู้
จนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้และต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน
เพื่อให้บรรลุตามเป้าประสงค์ขององค์การ
ขั้นตอนการจัดการความรู้
(คณะเทคโนโลยีการเกษตร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, 2552)
จากการรวบรวมและศึกษาขั้นตอนของการจัดการความรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้กำหนดไว้
สามารถสรุปออกได้เป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกำหนดสิ่งที่ต้องเรียนรู้ (Knowledge Identification) คือ การกำหนดนิยามของสิ่งที่องค์กรต้องการให้บุคลากรเรียนรู้
เพื่อให้บรรลุผลตามวิสัยทัศน์ นโยบาย ภารกิจ ค่านิยมและเป้าหมายต่างๆ ขององค์กร
เช่น การระบุขอบข่ายงาน การนิยามขีดความสามารถและคุณลักษณะของแต่ละตำแหน่งงาน
เป็นต้น
2. การแสวงหาความรู้ (Knowledge Acquisition) คือ
การนำเอาข้อมูล สารสนเทศและความรู้ที่มีอยู่ภายในและภายนอกองค์กร
มากลั่นกรองและนำมาสร้างคุณค่า เช่น การสอนงาน การฝึกอบรม การสัมมนา การประชุม
การแสดงผลงาน ระบบพี่เลี้ยง การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและการลงมือปฏิบัติ
การดำเนินการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการปฏิบัติงานต่างๆ ขององค์กร
3. การสร้างความรู้ (Knowledge Creation) คือ
การสร้างสรรค์ความรู้ให้เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล โดยผ่านการผลักดัน
การหยั่งรู้และเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างความรู้ใหม่ๆ เช่น
การคิดค้นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับองค์กรได้ โดยแบ่งความรู้เป็น
3 ประการ ดังนี้
3.1. ความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์การทำงานและอยู่ในตัวคน
เป็นความรู้ที่จับต้องไม่ได้หรือทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) เช่น ภาวะผู้นำขอผู้บริหารองค์กร ความรู้ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ขององค์กร
ความสัมพันธ์ของลูกค้า เป็นต้น
ซึ่งความรู้โดยนัยนี้เป็นความรู้ที่สำคัญที่สุดที่ควรดำเนินการให้เกิดการแพร่กระจายในองค์กร
เพื่อสร้างความรู้ใหม่อันจะเพิ่มมูลค่าและคุณค่าแก่ประเทศได้
3.2. ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)
คือ ความรู้ที่เปลี่ยนแปลงจากความรู้โดยนัยและความรู้ที่อยู่โดยรอบมาเป็น
สื่อ ตำรา หรือเอกสารอื่นๆ ที่สามารถจับต้องได้
3.3. ความรู้ที่ฝังตัวอยู่ในองค์กร (Embedded
Knowledge) คือ ความรู้ที่อยู่ในองค์กร เป็นความรู้
ความเข้าใจที่ชัดเจนในกระบวนการผลิตและ/หรือการบริการ
ซึ่งรวมถึงวัฒนธรรมองค์กรด้วย
4. การจัดเก็บและสืบค้นความรู้ (Knowledge Storage &
Retrieval) คือ
การจัดเก็บความรู้ไว้เพื่อให้บุคลากรในองค์กรเข้ามาสืบค้นได้ตามความต้องการ
โดยต้องคำนึงถึงวิธีการเก็บรักษา
ซึ่งแต่ละองค์กรจะต้องเก็บรักษาข้อมูลสารสนเทศและความรู้ไว้อย่างดีที่สุด
ในการจัดเก็บนั้นสามารถบันทึกเป็นฐานข้อมูลหรือบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนได้
5) การถ่ายโอนความรู้และใช้ประโยชน์ (Knowledge Transfer &
Utilization) คือ
การกระจายความรู้และถ่ายทอดไปอย่างรวดเร็วและเหมาะสมทั่วทั้งองค์กร
เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ประโยชน์ของการจัดการความรู้ (ศรีไพร
และเจษฎาพร, 2549)
การจัดการความรู้ที่ดี
ช่วยให้องค์การได้รับประโยชน์ เช่น
·
ช่วยเก็บความรู้ให้ควบคู่กับองค์การตลอดไป
·
ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้บริการ
หรือการเรียนรู้งานใหม่
·
ปรับปรุงประสิทธิภาพ
และช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับทุกส่วนขององค์การ
·
เสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ
·
ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้
แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งจะส่งผลให้บุคลากรมีคุณภาพเพิ่มขึ้น
และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในการปฏิบัติงานอันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การ
·
ช่วยให้องค์การมีความพร้อมในการปรับตัวให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
การดำเนินธุรกิจเพื่อความอยู่รอดและได้เปรียบทางการแข่งขัน
รูปแบบการจัดการความรู้ (ธีระพล
มโนวรกุล, 2551)
ความรู้ในองค์กรนับเป็นทุนที่สำคัญจึงต้องมีการจัดการความรู้ที่เหมาะสม
ดังนั้นองค์กรต้องเลือกรูปแบบการจัดการความรู้ที่เหมาะสมกับองค์กรของตัวเอง
เพื่อที่จะได้นำรูปแบบนั้นมาประยุกต์ใช้จัดการกับความรู้นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
การที่องค์กรจะเลือกรูปแบบของการจัดการความรู้มาใช้นั้นองค์กรจะต้องศึกษารูปแบบของการจัดการความรู้ต่างๆ
มาเปรียบเทียบกันและ นำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม
รูปแบบการจัดการความรู้ขององค์กรก็มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
การเรียนรู้แบบ วงลูปเดียว (Single Loop Learning) การเรียนรู้ในแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อองค์กรเผชิญหน้ากับปัญหาและความผิดพลาดทางการจัดการให้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
โดยมีการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการสะสมการเรียนรู้
การเรียนรู้แบบลูปซ้อน (Double Loop Learning) เป็นการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาและสนับสนุนการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผลซึ่งเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างการเรียนรู้และเป็นที่มาของแบบจำลองธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับความซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการแข่งขัน
การเรียนรู้แบบลูปสามชั้น (Triple Loop Learning) เป็นการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาหลักการใหม่ที่องค์การสามารถนำไปดำเนินการในขั้นต่อไป
รูปแบบการจัดการความรู้ในประเทศไทย
รูปแบบการจัดการความรู้ในประเทศไทย
มีหลากหลายรูปแบบด้วยกันแต่การนำมาใช้นั้นองค์กรต่างๆ
ก็มีการประยุกต์ใช้เพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรของตัวเองในครั้งนี้จะกล่าวถึงรูปแบบการจัดากรความรู้ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย
2 รูปแบบ คือ Tuna Model และ Xerox Model และอีก 1 รูปแบบทีจะกล่าวถึงเป็น
Model ที่น่าสนใจที่คิดค้นและพัฒนาโดยคุณณัฐพล รำไพ คือ i-cando
Model โดยมีรายละเอียดของแต่ละรูปแบบดังนี้
1.
Tuna Model (สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม, 2548)
แนวคิดรูปแบบการจัดการความรู้
ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ในรูปแบบปลาทูนั้น
มีแนวคิดที่ว่า ปลาทู 1 ตัวมีการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
ซึ่งจะอธิบายว่าแต่ละส่วนคืออะไรมีความสำคัญอย่างไร
เป้าหมาย (ส่วนหัวปลา) หรือ KV (Knowledge Vision)
ส่วนหัวที่ทำหน้าที่มองหาเส้นทางที่เดินทางไป แล้วคิดวิเคราะห์ว่า
จุดหมายอยู่ที่ไหนต้องว่ายแบบใดไปในเส้นทางไหน และไปอย่างไร
ในที่นี้เราจะเปรียบเป็น การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) ก่อนที่เราจะทำงานอะไรซักอย่างเราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการอะไร
จุดหมายคืออะไร และต้องทำอย่างบ้าง
ส่วนกิจกรรม (ตัวปลา) หรือ KS (Knowledge Sharing)
ส่วนลำตัวที่มีหัวใจของปลาอยู่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
ในที่นี้เราจะเปรียบเป็น การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) คือเราจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศที่เกิดการเรียนรู้เพื่อให้คนเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
ส่วนการจดบันทึก (หางปลา) หรือ KA (Knowledge Access)
หางปลา ทำหน้าที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเคลื่อนที่ไป
เปรียบเสมือนการเข้าถึงความรู้ (Knowledge
Access) หรือ คลังความรู้ ที่ได้จากการเก็บสะสมความรู้ที่มาจากการแลกเปลี่ยนความรู้
ซึ่งความรู้เหล่านี้อาจอยู่ในรูปแบบเอกสารหรือ คู่มือต่างๆ
โดยทุกส่วนนั้นมีความสำคัญ และ
เชื่อมโยงถึงกันเพื่อให้การจัดการความรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหากส่วนใดที่ทำแล้วบกพร่องหรือไม่ชัดเจนก็จะส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ
ตามมาด้วย
2. Xerox Model (ศรีไพร และเจษฎาพร,
2549)
รูปแบบของการจัดการความรู้
เป็นรูปแบบที่บริษัท Xerox Corporation ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการนำมาใช้อย่างประสบความสำเร็จ
(ตามแนวคิดของ Mr. Robert
Osterhoff) และมีหลายองค์การในประเทศไทยที่มีการนำรูปแบบนี้มาเป็นกรอบแนวคิดในการจัดการความรู้
ประกอบด้วยกระบวนการดังนี้
การจัดการการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม (Transition and Behavior
Management) สร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมจะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร และความร่วมมือของบุคลากรทุกระดับ
การสื่อสาร (Communication)
องค์การต้องมีการวางแผนการสื่อสารอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง
และสม่ำเสมอ โดยคำนึงถึงเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงช่องทางในการสื่อสาร
กระบวนการและเครื่องมือ (Process
and Tools) มีกระบวนการและเครื่องมือที่เหมาะสม และเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ในองค์การ
เรียนรู้ (Learning)
เป็นการเตรียมความพร้อม
สร้างความเข้าใจเพื่อให้บุคลากรตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการความรู้
รวมถึงจัดการฝึกอบรมที่เหมาะสมให้กับบุคลากร
การวัดผล (Measurements) เลือกการวัดผลเพื่อให้ทราบถึงสถานะ ความคืบหน้า
และผลที่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะช่วยให้องค์การสามารถทบทวน
และปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจองการจัดการความรู้
การยกย่องชมเชยและให้รางวัล (Recognition
and Rewards) มีการยกย่องชมเชย และระบบการให้รางวัลเพื่อจูงใจให้บุคลากรเข้าร่วมกิจกรรม
โดยเป้าหมายของการจัดการความรู้จะถูกกำหนดให้สอดคล้องกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจ
และเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กร
3.I - Cando Model (ณัฐพล รำไพ, 2544)
รูปแบบการจัดการความรู้ผ่านเว็บที่เสริมสร้างสมรรถนะของนักศึกษาครู
เป็นการนำเอาแนวคิดและหลักการของการจัดการความรู้(Knowledge Management) และการเรียนรู้ผ่านเว็บ (Web-based Learning) มาผสมผสานกับแนวคิดพื้นฐานการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมผ่านเว็บ
เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะของผู้เรียน (Competency) โดยต้นแบบดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ
(Systematic Approach) อันประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ หลัก
ได้แก่ ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output)
ปัจจัยนำเข้า
เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนรู้ผ่านเว็บ (Elements of
Web-based Learning) ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย 3 ด้าน ได้แก่
ผู้เรียน (Student) ผู้สอน (Teacher) และปฏิสัมพันธ์
(Interaction) ทั้งนี้ลักษณะการเรียนรู้ดังกล่าวจะอาศัยความสามารถของเทคโนโลยีการเรียนรู้ผ่านเว็บ
3 ส่วน ได้แก่ เทคโนโลยีการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaboration Technology) เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) และเทคโนโลยีฐานข้อมูล
(Storage Technology)
กระบวนการ
1.การค้นคิดและสรรค์สร้าง (Creating) คือ
กระบวนการสร้าง การกำหนด การแสวงหา การดำเนินการ การจัดหา
และการกำหนดเป้าหมายหรือการนิยามความรู้ให้ชัดเจนเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้
ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมคิดค้นค้นหาตัวตน
2.การพิจารณาและคัดสรร (Analyzing) คือ
กระบวนการคิดวิเคราะห์ พิจารณาเลือกสรร กลั่นกรองความรู้
และการจัดประเภทหรือหมวดหมู่ความรู้ ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมชุมชนคนสนใจ
3.การลองทำและนำไปใช้ (Nurturing) คือ
กระบวนการนำเอาความรู้ที่หาได้มาจากการพิจารณา และเลือกสรรความรู้ มาฝึกกระทำ
หรือลองทำ และประยุกต์ใช้ความรู้ในทางปฏิบัติ ซึ่งทำให้ความรู้ฝังลึก (Tacit
Knowledge) สามารถถ่ายโอนและปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นความรู้ชัดแจ้ง (Explicit
Knowledge)
4.การกระจายและแบ่งปัน (Disseminating) คือ
กระบวนการที่ได้จากการนำความรู้ไปลองทำ และประยุกต์ใช้ความรู้แล้วมาแบ่งปัน
แลกเปลี่ยน กระจาย และถ่ายโอนความรู้ร่วมกัน ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมชุมชนคนปฏิบัติ
5.การประเมินและปรับปรุง (Optimizing) คือ
กระบวนการนำเอาความรู้ที่ได้จากการเผยแพร่แล้วมาประเมินและปรับปรุงด้วยตนเองเพื่อนำไปใช้ในการทำงานการแก้ไขปัญหา
หรือการตัดสินใจต่างๆ ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมแบบอย่างปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ผลลัพธ์
ประกอบด้วยการประเมินสมรรถนะการเรียนรู้ของผู้เรียน(Competency) 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ (Knowledge) พิจารณาจากผลการประเมินตนเองของนักศึกษา
(Knowledge assessment) ด้านทัศนคติ (Attitude)พิจารณาจากผลการประเมินทัศนคติของนักศึกษา (Attitude assessment) และด้านทักษะ (Skill) พิจารณาจากผลการประเมินสมรรถนะการปฏิบัติงานของนักศึกษา
(Performance assessment)
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับการจัดการความรู้ (สมชาย นำประเสริฐชัย, 2549)
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที (Information and
communication Technology) หมายถึง
เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการนำระบบคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม และความรู้อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง มาผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้างและเผยแพร่สารสนเทศในรูปแบบต่าง
ๆ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวได้ว่าประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสองสาขาหลักคือ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม
กล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งที่เอื้อให้การจัดการความรู้ประสบความสำเร็จ
(สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ, 2547) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้การแลกเปลี่ยนความรู้สามารถทำได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้ระบบฐานข้อมูลที่ทันสมัยก็มีส่วนช่วยให้การจัดการความรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สมชาย นําประเสริฐชัย (2549) ได้จำแนกเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เกี่ยวของและมีบทบาทในการจัดการความรูออกเป็น
3 รูปแบบ คือ
1. เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) ช่วยให้บุคลากรสามารถเข้าถึงความรู้ต่างๆ
ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น รวมทั้งสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ
ค้นหาข้อมูล สารสนเทศและความรู้ที่ต้องการได้ผ่านทางเครือข่ายอินทราเน็ต
เอ็กซ์ตราเน็ตหรืออินเทอร์เน็ต
2. เทคโนโลยีสนับสนุนการทํางานร่วมกัน (Collaboration Technology) ช่วยให้สามารถประสานการทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดอุปสรรคในเรื่องของระยะทาง ตัวอย่างเช่น โปรแกรมกลุ่ม groupware ต่างๆ หรือระบบ Screen Sharing เป็นต้น
3. เทคโนโลยีในการจัดเก็บ (Storage technology) ช่วยในการจัดเก็บและจัดการความรู้ต่างๆ
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการจัดการความรู้ในองค์การ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญต่อการจัดการความรู้โดยเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนการจัดการความรู้ในองค์การให้มีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ถูกนำมาใช้กับการจัดการความรู้ เช่น
ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Document and Content Management
Systems)
ระบบสืบค้นข้อมูลข่าวสาร (Search Engines)
ระบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning)
ระบบประชุมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Meeting Systems and VDO
Conference)
การเผยแพร่สื่อผ่านระบบเครือข่าย (Web
Board หรือ e-Discussion)
ซอฟต์แวร์สนับสนุนการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Groupware)
บล็อก (Blog หรือ Weblog) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนความรู้
หรือประสบการณ์ ผ่านพื้นที่เสมือน (Cyber Space)
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่
1 : กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ
จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ให้เป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยพระราชฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ให้โอนบรรดา อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน
งบประมาณ หนี้สิน ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง อัตรากำลัง จากกรมพลศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ บางส่วนมาเป็นของสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ
ปรับเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจาก "กรมพลศึกษา" ซึ่งมีตำนานถึง 69 ปี มาเป็น "สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ"
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้และองค์กรแห่งการเรียนรู้
ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (นายสมบัติ
คุรุพันธ์)
สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการมีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาขั้นพื้นฐานและกีฬาเพื่อมวลชน
ส่งเสริมและพัฒนางานนันทนาการส่งเสริมและพัฒนางานวิทยาศาสตร์การกีฬาและพัฒนาบุคลากรทางการกีฬา
นันทนาการและวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งแต่ละภารกิจล้วนต้องใช้การจัดการความรู้ (Knowledge
Mannagement) มาช่วยผลักดันให้ภารกิจประสบผลสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้
การจัดการความรู้สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ของสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ
คือ การส่งเสริมและพัฒนาการกีฬา นันทนาการและสุขภาพ
และการพัฒนาองค์ความรู้ด้านกีฬา นันทนาการและสุขภาพ
จึงมีนโยบายมุ่งเน้นให้พัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรผู้เชี่ยวชาญและมีศักยภาพในการดำเนินงานด้านกีฬา
นันทนาการและวิทยาศาสตร์การกีฬา มีการรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ทางด้านการศึกษา
ค้นคว้า ผลิตเอกสาร ตำรา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน สามารถให้คำปรึกษา
แนะนำ ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ทางการกีฬาได้ การจัดความรู้ที่ดีและเป็นระบบที่สามารถพัฒนาผู้ฝึกสอน
ผู้ตัดสินและบุคลากรทางการกีฬาให้เป็นกำลังหลักในการปฏิรูปและพัฒนาการกีฬาได้เป็นอย่างดีและน่าเชื่อถือ
รวมทั้งเน้นการใช้หลักวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นแนวทางในการดำเนินการส่งเสริมพัฒนากีฬาทุกระดับ
วางรากฐานการกีฬาของชาติในทุกมิติโดยเน้นไปที่โรงเรียนและชุมชนเป็นฐาน
เน้นการพัฒนาและสร้างบุคลากรทางการกีฬาทุกภาคส่วนเป็นกำลังหลักในการปฏิรูปและเดินทางไปทิศทางเดียวกัน
เพื่อพัฒนาการกีฬาของชาติให้มีศักยภาพเป็นที่น่าเชื่อถือทั้งภายในและต่างประเทศ
สร้างสรรค์ จรรโลง และอนุรักษ์กิจกรรมนันทนาการให้แพร่หลาย เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกับเยาวชน
สังคม และประเทศชาติ
เป้าหมายการจัดการความรู้ คือ
การให้บุคลากรในองค์กรคิดเป็น ทำเป็น เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
บรรลุถึงเป้าหมายได้สำเร็จ ประโยชน์ของการจัดการความรู้มีหลายประการ เช่น ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน
สร้างนวัตกรรม แล้วเกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ
และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลาออก โดยให้ความสำคัญกับความรู้ของบุคลากร
และการให้ค่าตอบแทนและรางวัลที่เหมาะสม
นโยบายในการทำงาน คือ สร้างความชัดเจนในองค์กร
ทำอย่างไรให้คนในองค์กรเกิดความสุขทั้งสองอย่าง คือ ความสุขกายและความสุขใจ
เพราะเมื่อไหร่ที่สุขภาพกายและใจเราเข้มแข็ง
เมื่อนั้นสมองเราจะพัฒนาและแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดี
กลยุทธ์ในการทำงาน คือ เน้นจรรยาบรรณในวิชาชีพ
เด็กเล่นกีฬาเก่งเพราะครูฝึกดี ถ้าต้องการให้นักกีฬาเก่งก็ต้องเป็นครูฝึกที่ดี
เด็กเรียนเก่งเพราะครูสอนดี อยากให้นักเรียนเก่งก็ต้องเป็นครูสอนที่ดีด้วย
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้และองค์กรแห่งการเรียนรู้
รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (นายทวนชัย ลมูลสว่าง)
ผู้บริหารสูงสุดด้านการบริหารจัดการองค์ความรู้ขององค์กร
Chief Knowledge Officer : CKO
จากปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสร่วมดำเนินการด้านการจัดการความรู้ของสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ
ในฐานะหัวหน้าทีมงานการจัดการความรู้
พบว่ายังมีบุคลากรบางส่วนในหน่วยงานยังขาดความรู้ ความเข้าใจ
และเห็นความสำคัญของการจัดการความรู้
ว่ามีผลต่อการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานขององค์กรอย่างไร
มีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับการจัดการความรู้
ฉะนั้นอันดับแรกที่ต้องให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการ คือ
ทบทวนวิธีการดำเนินงานด้านการจัดการความรู้ ที่ผ่านมา สรุปปัญหา
อุปสรรคเพื่อเป็นข้อมูล ในการปรับปรุง และวางแผนการดำเนินงานใหม่
ในเบื้องต้น ต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก
ความรับผิดชอบร่วมกันของทีมงานการจัดการความรู้
เพื่อเป็นเครือข่ายในการผลักดันให้มีการบริหารจัดการความรู้ภายในหน่วยงาน
และใช้การบริหารการเปลี่ยนแปลงทบทวนกระบวนงาน รวมทั้งวิเคราะห์สมรรถนะของบุคลากร
แล้วใช้วงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA ( วงจร เดมมิ่ง ) โดยที่
Plan : การวางแผนงาน Do : การปฏิบัติตามแผน
Check : ตรวจสอบผล การดำเนินงาน และ Action : การปรับปรุงแก้ไขส่วนที่เป็นปัญหา เป็นหลักคิดในกระบวนการทำงาน
ซึ่งสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ ได้นำวงจรดังกล่าวมาทดลองใช้แล้วบางโครงการ
และจะขยายผล นำไปใช้กับทุกโครงการ และกระบวนงานอื่นๆต่อไป
หลังจากได้มีการจากการทบทวนและออกแบบกระบวนงานใหม่แล้ว
สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปคือ การจัดการความรู้ ตามกระบวนการจัดการความรู้
เพื่อรองรับกระบวนงานและการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
โดยพิจาณาว่า อะไรที่ยังไม่มี ต้องทำให้มี ถ้ามีแล้วไม่ดี ต้องทำให้ดี
และที่ดีอยู่แล้ว ต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่ต้องมุ่งเน้น คือ การสร้างความรู้
ความเข้าใจ การมีส่วนร่วม ส่งเสริม สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ถ่ายทอดความรู้ บันทึกผลการดำเนินงาน มีระบบการติดตามเป็นระยะและต่อเนื่อง
การประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ
สามารถวัดและประเมินผลการปฏิบัติงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
นำข้อมูลมาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ นำไปปฏิบัติ ปรับปรุง พัฒนา นำสิ่งที่ทำได้ดี
ประสบความสำเร็จ มายกย่องเชิดชู และเผยแพร่ ขยายผล ( ติดตาม ศึกษา ยอมรับ ปรับปรุง
แก้ไข และ ใช้แรงจูงใจทั้งทางบวก และลบ ) นอกจากใช้หลักวงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA
(วงจร เดมมิ่ง) แล้ว หลักคิดอย่างง่ายระดับชาวบ้าน
ที่มีประสิทธิภาพด้วย “ สูตรน้ำพริก IPOC ” ทำไมใช้คำว่า สูตรน้ำพริก อ่านแล้วอาจจะงงว่า เกี่ยวข้องกันอย่างไร ณ
ที่นี้เป็นการเปรียบเทียบ
เพื่อให้เข้าใจกระบวนการคิดและนำไปสู่การปฏิบัติได้ง่ายขึ้น สมมติ ผลลัพธ์ ( Out
come) คือน้ำพริกรสชาติอร่อย รับประทานแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ผลผลิต (Output ) คือ จำนวนน้ำพริก เท่าใด น้ำพริกอะไร
ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่ / องค์กรนั้นๆ เป้าหมาย
คือผู้รับประทานน้ำพริกคือใคร คนกลุ่มใด
กระบวนการ ( Process) การ ตำน้ำพริกให้อร่อยตามจำนวนที่ต้องการ มีวิธีการ/ขั้นตอนตำอย่างไรบ้าง
ต้องใส่เครื่องปรุงอะไร ส่วนผสมสัดส่วนเท่าใด ใส่อะไรก่อนหลัง และปัจจัยนำเข้า ( Input
) มีวัตถุดิบ เครื่องปรุง เครื่องมือ อุปกรณ์ อะไรบ้าง
ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับชนิดของน้ำพริก รวมทั้งเตรียมคนอย่างไร (
ตั้งแต่คนจัดหาวัตถุดิบ เครื่องมือ คนตำน้ำพริก คนชิมรสชาติน้ำพริก คนเสริฟ
และคนประเมินผล เพราะแต่ละกระบวนการอาจใช้คนไม่เหมือนกัน) ในการบริหารองค์กร
ก็ใช้หลักการเดียวกัน ในเบื้องต้นก็ ต้องพิจารณาว่าองค์กรมี ทำอะไร ผลลัพธ์( Outcome
) ที่องค์กรคาดหวังจะให้เกิดขึ้นหลังจากผู้รับบริการได้รับผลผลิต (
สินค้าและบริการ ) ต้องการผล อย่างไร ผลผลิต (Output ) สินค้าและบริการที่จะส่งมอบคืออะไร
จำนวนเท่าใด ผู้รับบริการ หรือกลุ่มเป้าหมายคือ คือใคร ต้องมีการการกำหนดที่ชัดเจน
เพราะจะนำไปสู่ กระบวนการ ( Process) เพื่อดำเนินการตามบทบาทหน้าที่
ภารกิจ พันธกิจ เพื่อให้ได้ผลผลิต ตามที่ผู้รับบริการต้องการ
(ทั้งจำนวนและคุณภาพ)ต้องมีวิธีการและขั้นตอนอย่างไรบ้าง มีใครร่วมดำเนินการบ้าง
และ ปัจจัยนำเข้า ( Input ) ไปสู่กระบวนการเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมายที่ต้องการ
ต้องเตรียมการเรื่องอะไรบ้าง ( คน เงิน เครื่องมือ อุปกรณ์ ขวัญกำลังใจ )
มีอะไรบ้าง โดยแต่ละขั้นตอน / กระบวนการใช้วงจร PDCA และใช้การบริหารการเปลี่ยนแปลงและการจัดการความรู้
นอกจากนี้ การบริหารจัดการความรู้ ให้ได้ผลนั้น ปัจจัยสำคัญ คือ
1. กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน
2. ผู้บริหารให้ความสำคัญ และมีส่วนร่วม
3. สร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้คนในองค์ทราบ เข้าใจ และมีส่วนร่วม
4. สร้างระบบ วางแผนกระบวนการทำงาน ดำเนินการ และติดตาม ประเมินผล อย่าง
ใกล้ชิดและต่อเนื่อง
5. การสร้างขวัญกำลังใจ และรางวัล
กรณีศึกษาที่
2 : บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
ได้จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2546
โดยการแปลงสภาพจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ.2542 และได้รับโอนกิจการ สิทธิ หนี้ ความรับผิด
และสินทรัพย์ของการสื่อสารแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคม
ทั้งหมดเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้บริษัทยังคงมีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 100% ของทุนจดทะเบียน
โครงการพัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้
CKC (CAT Knowledge Center)
1. หลักการและเหตุผล
พบ. ได้ดำเนินกิจกรรมการจัดการความรู้(KM) อย่างต่อเนื่อง
อาทิ ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) CAT
Blog, Brain Bank และอื่น ๆ โดยมีการรวบรวมองค์ความรู้จากกิจกรรม
และจัดเก็บและเผยแพร่ผลงานองค์ความรู้ รวมถึงเอกสารประกอบการบรรยาย
รายงานผลการอบรม/สัมมนา เทปบันทึกการบรรยาย บทเรียน e-Learning และอื่น ๆ ผ่านเว็บไซต์ CAT KM (http://catkm.cattelecom.com)
โดยกิจกรรม KM และสื่อความรู้ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น
เพื่อให้การจัดเก็บองค์ความรู้เป็นระเบียบและสามารถค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการข้อมูลองค์ความรู้ดังกล่าว
และเพื่อให้มีระบบรองรับแผนองค์กรแห่งการเรียนรู้ 2552-2555 (เอกสารแนบ 1) ในพันธกิจที่ 3
ซึ่งได้กำหนดพันธกิจพัฒนาและส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม
โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์พัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้ กสท(CKC:CAT Knowledge
Center) ตลอดจนการพัฒนา TCE
: Technical Center for Excellence ตามแผน HR Master Plan เพื่อเก็บ Tacit
Knowledge ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้(Knowledge
Sharing) และการปฏิบัติจริง ( Action Learning) จึงจำเป็นที่ต้องมีระบบเพื่อรองรับกับแผนดังกล่าว
อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ ICT ในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน
2. วัตถุประสงค์
2.1 เพื่อพัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้ CKC ให้เป็นแหล่งรวบรวมและจัดเก็บองค์ความรู้และนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ
2.2 เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรใช้เครื่องมือ ICT
สำหรับเรียนรู้และสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
3. เป้าหมาย
พัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้ CKC ให้แล้วเสร็จภายในปี 2554
4. ระยะเวลาและแนวทางการดำเนินการ
4.1 ปี 2552 ศึกษา ทบทวน
รวบรวมข้อมูลและร่างเค้าโครงแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้ CKC
4.2 ปี 2553 จัดทำแผนพัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้ CKC และประมาณการงบลงทุนจำนวน
5 ล้านบาทในการจัดซื้อ Knowledge Based Management
System จำนวน 1 ชุด
4.3 ปี 2554 ดำเนินการจัดซื้อและติดตั้งระบบ Knowledge Based Management
System และนำองค์ความรู้เผยแพร่และบริหารจัดการ
เพื่อให้พนักงานทดลองเข้าใช้งานได้อย่าง สะดวก
รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
4.4 ปี 2554-2555 ประเมินผลความพึงพอใจผู้เข้าทดลองใช้งานระบบศูนย์กลางความรู้ CKC เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาระบบระบบศูนย์กลางความรู้
CKC ให้เหมาะสมกับ การใช้งานการจัดการความรู้ของพนักงาน
5. งบประมาณ
พบ. ขอตั้งประมาณการงบลงทุนสำหรับปี 2554
ในการจัดซื้อ Knowledge Based Management System จำนวน 1 ชุด ในราคาประมาณ 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน)
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
6.1 มีศูนย์กลางจัดเก็บ ถ่ายทอด
และใช้งานองค์ความรู้ของ กสท อย่างเป็นระบบและมี ประสิทธิภาพ
6.2 มีจำนวนพนักงานที่เข้ามาเป็นสมาชิก CAT
KM และเข้าใช้งานองค์ความรู้ใน CKC มากขึ้น
6.3
มีการสร้างบรรยากาศและส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้
7. ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor)
ปัจจัยแห่งความสำเร็จเพื่อให้การดำเนินการโครงการพัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้
CKC บรรลุวัตถุประสงค์
และพนักงานสามารถเข้าใช้งานระบบศูนย์กลางความรู้ CKC ได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในองค์กร
คือ
7.1 ผู้บริหารให้การสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงาน
และมีส่วนร่วมในการกระตุ้นส่งเสริมกิจกรรม KM & LO ของ
กสท
7.2 มีบุคลากรรองรับการดำเนินการโครงการพัฒนาระบบศูนย์กลางความรู้
CKC
7.3 มีการตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อย
เพื่อรับผิดชอบงานในแต่ละเรื่องอย่างชัดเจน
7.4 มีระบบเครือข่ายสารสนเทศที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
7.5 พนักงานในทุกฝ่ายงานมีความรู้ความเข้าใจ
และยอมรับแนวคิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
7.6 มีรางวัลเป็นแรงจูงใจสำหรับผู้ที่แลกเปลี่ยนและสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อ
KM & LO อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ที่จะจัดเก็บและเผยแพร่ในระบบศูนย์กลางความรู้
CKC
บรรณานุกรม
จันทิมา เพิ่มพิกุล. (2543). Successfully
Implementing Knowledge Management.
ฐิติกร พูลภัทรชีวิน. ความหมายของการจัดการความรู้. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://sites.google.com/site/gaiusjustthink/thitikorn-on-km/khwamhmaykhxngkhawakarcadkarkhwamru (วันที่ค้นข้อมูล : 17 ก.ค.
2554)
ธีระพล มโนวรกุล. (2551). การจัดการความรู้. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ระบบจัดการความรู้ คณะเทคโนโลยีการเกษตร
มหาวิทยาเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง.
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการจัดการความรู้. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://www.agri.kmitl.ac.th/km/knowledge/?p=21. (วันที่ค้นข้อมูล : 21 ก.ค. 2554).
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม. การจัดการความรู้. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://www.bic.moe.go.th/fileadmin/BIC_Document/KM/WedJuly2005-9-16-35-Introduce_KM.pdf . (วันที่ค้นข้อมูล :
10 มิ.ย. 2554)
สมชาย นําประเสริฐชัย. เทคโนโลยีกับการจัดการความรู้. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : http://www.kmi.or.th/document/Tech_KM.pdf. (วันที่ค้นข้อมูล : 20
ก.ค. 2554).
ศรัณยู พิสิฐอรรถกุล. รูปแบบการจัดการความรู้. (ออนไลน์).
เข้าถึงได้จาก :
http://www.learners.in.th/blog/manace/466785. (วันที่ค้นข้อมูล : 20 ก.ค. 2554).
ศรีไพร
ศักดิ์รุ่งพงศากุล และเจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย. (2549). ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจัดการ
ความรู้. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ดยูเคชั่น.
(วันที่ค้นข้อมูล
:
22 ก.ค. 2554).
Community of Practice.
เครื่องมือที่ใช้สำหรับการจัดการความรู้ (KM
Tools). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://classofcop.blogspot.com/2010/01/km-tools.html.
(วันที่ค้นข้อมูล : 20 ก.ค. 2554).
Social
Science. ความหมายของความรู้. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=59347. (วันที่ค้นข้อมูล : 10 มิ.ย. 2554)
สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://www.basd3.osrd.go.th/aboutkm.php. (วันที่ค้นข้อมูล : 22 ก.ค. 2554).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น